Electronics Sector ปี 2545 |
Flight to Hope |
Neutral |
ปี
2544 เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของโลกได้เผชิญกับช่วงธุรกิจขาลง
ผลการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของโลกหลายแห่งประสบผลขาดทุนในขณะที่บริษัทบางแห่งต้องหยุดดำเนินกิจการเนื่องจากปริมาณความต้องการของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทล้วนแล้วแต่ปรับตัวลดลง
ยอดขายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกมีอัตราการขยายตัวลดลงเป็นครั้งแรกเนื่องจากปริมาณความต้องการที่ลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา
ความต้องการอุปกรณ์ในกลุ่มโทรคมนาคม เช่น เครื่องโทรศัพท์มือถือ
มียอดขายลดลงเมื่อเปรียบเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
และเมื่อปริมาณความต้องการของเครื่องมือสื่อสารแบบไร้สายลดลงส่งผลให้ปริมาณการผลิตและความต้องการชิ้นส่วนทั้งประเภทเซมิคอนดักเตอร์
และ แผ่นพิมพ์วงจรไฟฟ้า (PCBs) ลดลงตามไปด้วย
คาดว่าการฟื้นตัวที่มาจากความต้องการแท้จริงจะต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณ
3-6 เดือน จะมีความชัดเจน ดังนั้นผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จะอยู่ในระดับทรงตัวในไตรมาส
4/44 และ ไตรมาส 1/45 และจะมีอัตราการขยายตัวเป็นบวกในช่วงไตรมาส 2-3 ของปี 2545
และสำหรับแนวโน้มของกลุ่มธุรกิจแต่ละประเภทในปี 2545 สามารถสรุปได้ดังนี้
ธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์
Semiconductor
Association Industry ได้คาดการณ์ว่ายอดขายเซมิคอนดักเตอร์ในปี 2545 จะมีอัตราการขยายตัวประมาณ
6.3% เมื่อเทียบกับปี 2544 ด้วยมูลค่าตลาดรวม 149,546 ล้านเหรียญสหรัฐ
การฟื้นตัวของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เริ่มส่งสัญญาณในทางบวกในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนติดต่อกัน
โดยยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 12 เดือน เมื่อเปรียบเทียบแบบเดือนต่อเดือน (Sequential
Basis) ด้วยมูลค่าตลาด 10,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6%
จากเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2543 ยอดขายยังคงปรับตัวลดลง 42%
เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
Cคาดว่ากลุ่มเซมิคอนดักจะเป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนก่อนกลุ่มอื่น
โดยหุ้นที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้ได้แก่ HANA และ CIRKIT ทั้งนี้เนื่องจากนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมประเมินว่ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหลังจากที่ยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในเดือนตุลาคม
2544 ได้กลับมียอดขายเป็นบวกอีกเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน อย่างไรก็ตาม
การเพิ่มขึ้นของยอดขายเพียง 2
เดือนติดต่อกันอาจจะยังไม่บ่งบอกถึงการกลับเป็นช่วงขาขึ้นของอุตสาหกรรมที่แท้จริงได้
ในขณะที่ราคาหุ้นของ HANA และ
CIRKIT ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดซึ่งเป็นผลสะท้อนถึงความคาดหวังของผลประกอบการในอนาคตที่เกิดขึ้นรวดเร็วกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
สำหรับผลประกอบการของ HANA และ
CIRKIT ในปี 2545
คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอัตราการขยายตัวจะปรากฎให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงปลายไตรมาส
2/45 จนถึงช่วงครึ่งปีหลังมากกว่าในช่วงครึ่งปีแรก
คาดว่ายอดขายของ HANA จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
12% เป็น 175
ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เป็นหลัก
โดย CNS คาดว่ายอดขายในกลุ่มนี้จะปรับตัวเพิ่มขึ้น
25% YOY ในขณะที่กลุ่มไมโครอิเล็กทรอนิกส์จะอยู่ในระดับทรงตัวโดยคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
10% YoY คาดว่า HANA จะมีกำไรสุทธิ 1,147 ล้านบาท หรือ 7.5 บาท/หุ้น ส่วน CIRKIT การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ
HANA แต่ปัจจัยพื้นฐานของ
CIRKIT จะเป็นรองถึงแม้ว่ายอดขายในแต่ละปีจะอยู่ในระดับเท่าเทียมกัน
ทั้งนี้เนื่องจากผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของ CIRKIT จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำ นอกจากนี้ CIRKIT ยังมีภาระเงินกู้ยืมสูงทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยในขณะที่
HANA อยู่ในฐานะปลอดหนี้
คาดว่าในปี 2545 CIRKIT จะมียอดขาย
85 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีกำไรสุทธิ 140 ล้านบาท หรือ 2.9 บาท/หุ้น
ธุรกิจคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
International
Data Corporation ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วโลก
ได้ประมาณการว่ายอดขายคอมพิวเตอร์ของโลกในปี 2545
จะมีจำนวน 139 ล้านเครื่อง ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2544 ประมาณ 6.9% เป็นผลจากผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังคงใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาประกอบกับความนิยมโปรแกรมคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ
สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงซึ่งเผชิญกับจุดต่ำสุดที่ทำให้ยอดขายรวมทั่วโลกปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาทรุดตัว
สำหรับบริษัทซึ่งมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับกลุ่มคอมพิวเตอร์ ได้แก่ DELTA ซึ่งเป็นผู้ผลิตจอภาพคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของประเทศ
อย่างไรก็ตามในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา DELTA พยายามลดสัดส่วนการขายจอภาพคอมพิวเตอร์ลง
เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับที่ต่ำ
และหันมาผลิตสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงเพิ่มขึ้น และสำหรับในปี 2545 DELTA มีกลยุทธ์ที่จะเริ่มผลิตจอภาพคอมพิวเตอร์แบบ
LCD
และลดปริมาณการผลิต SPS ลง
เนื่องจากปริมาณความต้องการของ SPS ที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะลดลง
CNS จึงคาดว่ายอดขายของ
DELTA จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น
820 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ
17.1% ซึ่งเป็นผลจากการผลิตจอภาพ
LCD มี Gross Margin
อยู่ที่ระดับ 8-10% ดังนั้น DELTA
จึงมีกำไรสุทธิ 3,037 ล้านบาท คิดเป็นกำไร
2.9 บาท/หุ้น นอกจาก DELTA แล้ว KRP ยังเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอมพิวเตอร์
โดย KRP เป็นผู้ผลิตแขนจับหัวอ่านสำหรับฮาร์ดดิสต์คอมพิวเตอร์
การฟื้นตัวของธุรกิจคอมพิวเตอร์ในปี 2545 จะส่งผลบวกต่อ KRP มากกว่าเนื่องจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ
KRP ผูกติดกับปริมาณการขายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก
จากการประมาณการของ คาดว่ายอดขายของ KRP จะเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 78
ล้านบาท อย่างไรก็ตาม
ยังคงกังวลมากในประเด็นเกี่ยวกับความผันผวนของต้นทุนขายซึ่งขึ้นอยู่กับการบันทึกค่าใช้จ่ายเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยและพัฒนาแขนจับหัวอ่านรุ่นใหม่
ธุรกิจการแผ่นพิมพ์วงจรไฟฟ้า
แผ่นพิมพ์วงจรไฟฟ้า หรือ PCBs มีความสัมพันธ์กับโดยตรงกับปริมาณการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทเนื่องจาก
PCB
จะถูกใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตเพื่อเชื่อมวงจรอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเข้าด้วยกัน
ดังนั้นในปี 2544 ปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์
โทรศัพท์มือถือ หรือ ผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ในครัวเรือนที่ปรับตัวลดลง
มีผลทำให้ปริมาณความต้องการ PCB ทั่วโลกปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยอัตราส่วน Book-to-Bill ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่แสดงความสัมพันธ์ของปริมาณการสั่งซื้อ
PCB
จากผู้ผลิตสินค้า
และปริมาณการจัดส่ง PCB จากผู้ผลิต PCB ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1 เท่า ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2544 อย่างไรก็ดีอัตราส่วน
Book-to-Bill
ได้เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นบ้างแล้ว
โดยในเดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 0.87 เท่า สำหรับในปี 2545 จากการประเมินภาวะธุรกิจหลังจากที่ระดับสินค้าคงเหลือลดลงแล้ว
อัตรากำลังการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ปริมาณความต้องการ PCB
เพิ่มขึ้น จากการประมาณการของ IPC คาดมูลค่าตลาด PCB
ทั่วโลกในปี
2545 จะมีอัตราการขยายตัว 7.1% เป็น 43,282 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับบริษัทที่มีการผลิต
PCBs ได้แก่ KCE โดย คาดว่าในปี 2545 ยอดขายของ KCE
จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 95
ล้านเหรียญสหรัฐ โดย KCE จะเพิ่มปริมาณการผลิตให้กับกลุ่มคอมพิวเตอร์มากขึ้นเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีปริมาณความต้องการสูงทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากโรงงานแห่งใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างรายได้โดยเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มคอมพิวเตอร์มากขึ้นนั้นจะสร้างความกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้นของ
KCE ให้ปรับตัวลดลง
โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 20% คาดว่า KCE จะมีกำไรสุทธิ 182 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 6.1 บาท/หุ้น สำหรับการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้น
KCE นั้น คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่ปริมาณการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ
เช่น ยอดขายเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มขึ้นแสดงให้ห็นว่าปริมาณความต้องการของ Monther
Boards เพิ่มมากขึ้น และ
โทรศัพท์มือถือ แสดงให้เห็นว่าปริมาณความต้องการ Multilayer PCBs เริ่มขยายตัวในทิศทางเดียวกัน
ธุรกิจการรับจ้างผลิต
การรับจ้างการผลิต หรือ Electronic
Manufacturing Services (EMS)
เป็นธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการปรับกลยุทธ์ของผู้ผลิตที่มานิยมการว่าจ้างให้บริษัทเหล่านี้ผลิตสินค้าสำเร็จรูปให้แทนการผลิตเอง
ทำให้ธุรกิจดังกล่าวเป็นเพียงธุรกิจเดียวที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องในปี 2544
และสำหรับในปี 2545 จากการประมาณการของ IDC
คาดว่ามูลค่าตลาดของธุรกิจการว่าจ้าง/รับจ้างผลิต
จะมีมูลค่าตลาด 135,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 26% YoY
บริษัทที่มีลักษณะในการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
2 บริษัท คือ CCET และ
SVI หากสังเกตุในปี
2544 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าผลประกอบการของทั้ง 2 บริษัทสวนทางกับบริษัทอื่นๆในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ทั้งนี้เนื่องจากปี 2544
เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมการว่าจ้างผลิตเป็นที่นิยมของบรรดาผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างมาก
อย่างไรก็ตามการขยายตัวของยอดขายของ CCET และ SVI ขึ้นอยู่กับลูกค้าเดิมซึ่งเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่มีการเพิ่มปริมาณคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด
ประกอบกับการเพิ่มลูกค้ารายใหม่ที่มีลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกับผลิตภัณฑ์เดิม
ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนในเครื่องจักรเพิ่มมากและลดระยะเวลาในการผลิตสินค้าสู่ตลาดได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งทั้ง CCET และ SVI ยังไม่มีการเพิ่มจำนวนของลูกค้ารายใหม่ที่มีมูลค่าการสั่งซื้อสูงอย่างมีนัยสำคัญในปี
2545 ดังนั้นภาพของอัตราการขยายตัวของทั้ง 2
บริษัทจะต่ำกว่าบริษัทในกลุ่มเนื่องจากฐานของรายได้ในปี 2544 อยู่ในระดับที่สูง
หากพิจารณาแยกเป็นรายตัว CNS เห็นว่า
CCET จะมีความโดดเด่นมากกว่า
SVI ในแง่ของกำลังการผลิตซึ่งมีโรงงานถึง
5 แห่ง ทำให้บริษัทสามารถรองรับคำสั่งซื้อได้ครั้งละมากๆ
ความหลากหลายในการผลิตสินค้ารวมถึงบริษัทมีโครงการผลิตสินค้าที่อยู่ระหว่างการทดลองและคาดว่าจะเริ่มผลิตอย่างจริงจังปี
2545 อีกหลายโครงการ คาดว่า CCET จะมียอดขายประมาณ
660 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ให้กับ CCET ยังคงเป็นเครื่องพิมพ์เอกสาร
หรือ Inkjet Printer ซึ่งผลิตให้กับ
Hewlett Packard โดยคิดเป็นสัดส่วน
55% ของรายได้รวม
ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ชนิดใหม่ เช่น โทรศัพท์ไร้สายแบบ CDMA/TDMA จอภาพคอมพิวเตอร์ LCD และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโทรคมนาคมจะคิดเป็นสัดส่วน
45% ของยอดขาย
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ
ในช่วงปี
2544 นับเป็นปีที่ตกต่ำที่สุดช่วงหนึ่ง
สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย
ดัชนีราคาหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดที่ 437
จุด ลดลงจากจุดสูงสุดในปี 2543 ที่ 1,334
จุด สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อทิศทางของธุรกิจที่ตกต่ำลงอย่างมาก
อัตราส่วน PER ของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่ำสุดที่
4.0 เท่า และมีค่าเฉลี่ย PER เท่ากับ
5.5 เท่า
สำหรับในปี
2545 นี้
แนวโน้มของอุตสาหกรรมจะเริ่มเป็นทิศทางบวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวจะเป็นลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่าจะเป็นการพลิกกลับตัวโดยทันที
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงได้ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มจาก
Underweight ขึ้นเป็นระดับ Neutral ตั้งแต่ช่วงปลายปี
2544 สำหรับคำแนะนำการลงทุน จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
โดยในกลุ่ม 1st
Tier แนะนำ ซื้อ HANA,
DELTA และ KCE โดยหุ้นที่ CNS คาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกก่อนจะเป็น
HANA ทั้งนี้เนื่องจากการประกาศข่าวการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโดยยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น
2 เดือนติดต่อกัน สำหรับ DELTA นั้น ยังคงเห็นว่าเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีที่สุดในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
แต่ระดับราคาจะมีลักษณะค่อยๆปรับตัวเพิ่มขึ้นตามจุดเปลี่ยนของวงจรธุรกิจ ส่วน KCE จะเป็นหุ้นตัวสุดท้ายในกลุ่ม 1st Tier ที่จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งนี้เนื่องจากดัชนีที่บ่งชี้การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมซึ่งถึงแม้ว่าจะเริ่มส่อเค้าดีขึ้นแต่ยังคงไม่ชัดเจนมากนักเมื่อเทียบกับกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์
และสำหรับในกลุ่ม 2nd Tier ซึ่งได้แก่ CIRKIT, KRP และ SVI
นั้น
การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นลักษณะการ Trading Buy เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานเป็นรองเมื่อเทียบกับกลุ่มแรก
แต่เนื่องจากราคาหุ้นในกลุ่มนี้อยู่ในระดับค่อนค้างต่ำจึงคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนรายย่อยมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อระดับราคาของหุ้นในกลุ่ม
1st Tier ปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับการประเมินมูลค่าของหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
อิงกับค่าเฉลี่ยของอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio)
ของหุ้นแต่ละตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่าน
ดังนั้นมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานของแต่ละบริษัทมีรายละเอียด ดังนี้
|
กำไรสุทธิ (ล้านบาท) |
กำไรต่อหุ้น (บาท) |
P/E Ratio เฉลี่ย* (เท่า) |
มูลค่า (บาท/หุ้น) |
คำแนะนำ การลงทุน |
HANA |
1,147.75** |
7.5 |
11.5 |
85.70 |
ซื้อลงทุน |
DELTA |
3,036.90 |
2.9 |
11.0 |
32.00 |
ซื้อลงทุน |
KCE |
181.84 |
6.1 |
9.0 |
54.50 |
ซื้อลงทุน |
CCET |
1,631.40 |
5.4 |
6.0 |
32.40 |
ซื้อลงทุน |
CIRKIT |
140.25 |
2.9 |
5.0 |
14.25 |
ซื้อเก็งกำไร |
KRP |
78.25 |
0.2 |
16.0 |
3.50 |
ซื้อเก็งกำไร |
SVI |
266.80 |
1.7 |
5.0 |
8.60 |
ซื้อเก็งกำไร |
* ค่าเฉลี่ย P/E Ratio ในช่วง 5 ปี (2539 2544) ยกเว้น
CCET
** ไม่รวมส่วนแบ่งผลกำไร/ขาดทุนจาก AIT